วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

### ม่วงมหากาฬรีวิว ### “ภูชี้ฟ้า-ผาตั้ง-ดอยช้าง” เสน่ห์แห่งขุนเขาในฤดูร้อน


ยามเข้าฤดูร้อนของเดือนเมษา ขุนเขาจากสีเขียวกลับกลายแห้งเหี่ยว
สายหมอกที่คอยชโลมความสุขค่อยๆ จางหายไป
สาเหตุเหล่านี้กระมังที่ทำให้แหล่งท่องเที่ยวยามนี้ไร้ซึ่งผู้คน...


อีกหนึ่งพื้นที่การเดินทางบนเส้นทางสายธรรมชาติในแบบฉบับของผม 
ม่วงมหากาฬ LIFE FOR TRAVEL



ลำน้ำน่านที่ไหลผ่าน จ.อุตรดิตถ์ ยามนี้แห้งขอด
ผู้คนจำนวนไม่น้อยมาคลายร้อนและเล่นน้ำกันอย่างสนุก



หากเป็นในเมืองกรุงกิจกรรมคลายร้อนก็คงเป็นการเดินเล่นในห้าง
บางทีการได้ยืนมองวัยรุ่นเหล่านั้นกับสังคมวิถีชีวิตที่แตกต่างในแบบเรียบง่าย
คงเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นในการเดินทางที่สอดคล้องกับห้วงเวลาของฤดูกาลนี้



ผมเริ่มบทบันทึกการเดินทางฉบับนี้ที่แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตอย่างภูชี้ฟ้า จ.เชียงราย
เสียงร้องเพลงเริ่มต้นขึ้นเมื่อผมเริ่มเดินขึ้นภูชี้ฟ้า
“โพะ ออ แค เหราะ มา ฝะ..หยะ ฮะ เธอ ต๊ะ กิน..ผะ มี วิ ตะ มี..ม่าย ต้อ กิ เคาะ แพ”
เด็กน้อยชาวเขาสองคนยืนร้องเพลงนี้ เพื่อแลกกับความเมตตา



มันเป็นก้าวย่างแรกที่ทำให้ผมรู้สึกอะไรบางอย่าง
ชีวิตกับธรรมชาติ ชีวิตกับความอยู่รอดเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
ชีวิตในมุมเล็กๆ มุมหนึ่งของการหารายได้อย่างสุจริต ท่ามกลางขุนเขาที่ยิ่งใหญ่



ภูชี้ฟ้าในยามนี้ดูแห้งแล้ง ไร้นักท่องเที่ยว
หญ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีทองอร่าม แต่ความยิ่งใหญ่มิได้เปลี่ยนแปลงไป



ในวันที่อากาศเป็นใจ ท้องฟ้าสดใส ไร้หมอกควัน
กับวันที่ผู้คนแออัดยัดเยียดกันในฤดูหนาว 
ถ้าต้องการความสงบ ปล่อยให้ธรรมชาติหมุนรอบตัวเรา
ผมคงเลือกอย่างแรกเสียมากกว่า



แสงแดดสาดส่องในยามบ่ายแต่หาได้ร้อนไม่
เบื้องล่างคือประเทศเพื่อนบ้านที่มองลงไปเห็นหมู่บ้านจำนวนหนึ่ง
มีเส้นถนนตัดผ่านแลเห็นเป็นสายๆ ดูตื่นตาตื่นใจทีเดียว



นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินผ่านผมขึ้นไปยืนอยู่ยอดดอยสองคน
และก็มีเพียงสองคนแค่นั้นจริงๆ ตลอดเวลาที่ผมอยู่บนภูชี้ฟ้า
อะเมซิ่งไทยแลนด์ ที่นี่สวยและเงียบมาก ผมคิดแทนให้เสร็จสรรพ



สามครั้งของผมกับการมาเยือนที่นี่
ในห้วงเวลาที่ไม่ได้สวยและดีที่สุดทั้งสามครั้ง
แต่ผมก็ประทับใจ และหลงรักจนอยากมาเยือนบ่อยๆ
ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนก็ตาม..



ห่างออกไปอีกราวยี่สิบกิโล เมื่อลงมาจากภูชี้ฟ้า
ผมกำลังกลับไปเยือนที่นี่อีกครั้ง...
ครั้งแรกกับดอยผาตั้งในฤดูฝน แต่ครั้งนี้ตอนนี้เป็นฤดูร้อน



ขุนเขาสลับซับซ้อนค่อยๆ ย้อนรอยความทรงจำ
วันนั้นในฤดูฝนกับการมาเยือนดอยผาตั้งครั้งแรกที่ทุกอย่างเขียวสดชื่น
แต่วันนี้ในฤดูร้อนไร้การเพาะปลูกพืชไร่ ขุนเขาแห้งโล้น 
เป็นความสวยงามที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง



แสงที่ลอดผ่านปุยเมฆ สาดเป็นสาย ส่องกระทบภูผา
เผยให้เห็นทิวเขาลดหลั่นอลังการบนความสูงเสียดฟ้า
ยี่สิบกิโลจากภูชี้ฟ้าสู่ดอยผาตั้ง ทุกๆ อย่างเต็มไปด้วยขุนเขา



ดอยผาตั้ง จ.เชียงรายในวันนี้ ก็ยังคงไร้ผู้คนไม่ต่างจากที่แรก
ยามเย็นที่น่าจะมีนักท่องเที่ยวขึ้นมาบ้าง 
เวลานี้มีแค่เพียงความเงียบเหงา กับอุณหภูมิที่เริ่มจะหนาวลง



ฤดูหนาวมาเชยชมดอกนางพญาเสือโคร่ง
ฤดูฝนมาสัมผัสไอหมอกและความสดชื่น
แล้วฤดูร้อนมาเพื่อ...



ช่องเขาขาดบนดอยผาตั้งจุดถ่ายรูปอีกจุดหนึ่งที่งดงาม
กับนางแบบที่เพิ่งรู้จักกันบนนี้ 
และผมก็เชื่อว่าเธอก็มาเพื่อสิ่งนี้ สิ่งที่เธอกำลังแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ



ฝั่งนี้ที่เรายืนคือสยาม อีกฝั่งหากมองออกไปคือประเทศลาว
อาณาเขตที่ธรรมชาติอันสวยงามขีดกั้นพรมแดน


เมื่อยืนมองออกไปจากช่องเขาขาด เราจะเห็นป่าไม้ที่ดูอุดมสมบูรณ์ของเพื่อนบ้าน


ต้นไม้ที่ดูหนาแน่น อาจจะดูหนาตากว่าบ้านเราด้วยซ้ำ
ดูแล้วก็ทำให้รู้สึกสบายตา สดชื่น และมีความสุข



ครั้งก่อนในฤดูฝนที่ผมมาเยือน
สายหมอกที่ในวันนั้นฟุ้งกระจายจนมองอะไรไม่เห็น 
ไม่เห็นทิวเขา ไม่เห็นป่าไม้ กับครั้งนี้ที่อากาศสดใส
มองไปทางใดก็ดูสดชื่น สวยงาม



ดวงตะวันกำลังจะลาลับบนดอยผาตั้ง 
แสงอบอุ่นสีทองที่กำลังสาดส่อง 
มันเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำ และน่าประทับใจ



จากจุดเริ่มต้นในการเดินราวกิโลกว่าๆ ไต่ระดับเรียบไปตามความสูงของขุนเขา
มองออกไปจะเห็นถนนที่ดูคดเคี้ยวอย่างเด่นชัด รวมไปถึงร้านค้า รีสอร์ทต่างๆ



แม้จะเป็นฤดูร้อนแต่อากาศก็ไม่ได้ร้อน
ยามเย็นแบบนี้อากาศดูหนาวเย็นลงไปเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ



แสงสุดท้ายค่อยๆจากไป ทุกอย่างดูสงบเงียบ
ไม่เว้นแม้แต่ความคิดภายในจิตใจ



ทุ่งนาจังหวัดเชียงรายในยามฤดูร้อนแบบนี้
ส่วนใหญ่ไม่ได้เพาะปลูก แต่ก็มีบางส่วนซึ่งเป็นส่วนน้อยที่นาข้าวเขียวขจี



หลังสายฝนหยุดโปรยปราย สายหมอกก็เริ่มต้นทำงาน
ฤดูกาลนี้หาได้ไร้ซึ่งสายหมอกไม่



เถียงนาที่วันนี้ยังดูเงียบเหงา 
สายฝนในวันข้างหน้าของการเริ่มต้นเพาะปลูก
จะทำให้เถียงนากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง



จากเชียงรายมุ่งหน้าไปทาง อ.แม่สรวย เส้นทางสู่เชียงใหม่
เขื่อนแม่สรวย เขื่อนขนาดใหญ่ที่ผมเคยได้รับรู้ถึงความสวยงามอยู่บ่อยๆ ในโลกอินเตอร์เน็ต
และวันนี้ผมก็ได้มาสัมผัสความสวยงามในโลกของความเป็นจริง


ในวันนี้น้ำในเขื่อนดูน้อยพอสมควร สวนทางกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่ค่อนข้างเยอะ

ที่นี่มีร้านอาหารริมเขื่อน มีที่พัก และมุมสวยๆ ให้ได้พักผ่อนถ่ายรูปเยอะทีเดียว


หากเทียบกับเขื่อนอื่นๆ ก็ยังดูจะเล็กกว่ายกตัวอย่างเช่นเขื่อนแก่งกระจาน
สำหรับการพักผ่อนของใครหลายๆ คนอาจแตกต่างกันไป
แต่สำหรับผมแล้วนั้น ผมชอบที่จะนั่งมองขุนเขา สายน้ำ แล้วปล่อยความรู้สึกไปกับมัน
เขื่อนแม่สรวย คงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ในการพักผ่อนเมื่อได้มาเยี่ยมเยือนเมืองเชียงราย



เส้นทางจากเขื่อนแม่สรวยมุ่งหน้าสู่ดอยช้างระยะทางราวยี่สิบกว่ากิโล
สองข้างทางคือความสูงชันและความสวยงามของขุนเขา 



ดอยช้างกับครั้งแรกที่ผมได้มาสัมผัส
ดินแดนที่ได้เอ่ยนามก็นึกถึงเรื่องราวของกาแฟชั้นเลิศ



ย่างก้าวแรกที่เข้ามาสู่ดอยช้างตลอดเส้นทางที่ไต่ระดับความสูงชัน
มีความรู้สึกเหมือนเดินทางบนสายเมืองน่านประมาณนั้น
คงเพราะความสูงชัน คดเคี้ยว และความยิ่งใหญ่ของขุนเขา



หมู่บ้านที่ปลูกสร้างกันตามความลาดเอียงของภูเขา
ยังไม่แปลกใจเท่ากับจำนวนประชากรที่ดูจะเยอะพอสมควร



ความน่าสนใจที่ผมคิดว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าวิวทิวทัศน์เลย
คือการได้เดินแบบเนิบๆ ดูวิถีชีวิตของชาวบ้านและผู้คน 



ส่วนใหญ่ผู้คนที่นี่ยังใช้ชีวิตแบบดั้งเดิม
ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก
มีการปรับเปลี่ยนไปบ้างให้สอดคล้องกับการต้อนรับนักท่องเที่ยว
แต่โดยภาพรวมผมคิดว่าดินแดนแห่งนี้ยังมีมนต์เสน่ห์ไม่น้อยทีเดียว



เส้นทางจากดอยช้างลงสู่เชียงรายผ่านส้าน ทางลงค่อนข้างลาดชัน
สองข้างทางเต็มไปด้วยทิวสนที่ดูงดงาม



เวลาของความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ
เวลาของฤดูกาลที่ไม่ได้ดีที่สุดสำหรับขุนเขา สายหมอก ก็คงจะผ่านไปอีกไม่นาน



หลังลงมาจากดอยช้างก็ลัดเลาะผ่านป่าสน ผ่านอ่างเก็บน้ำห้วยส้าน
วันนี้มีผู้คนมาคลายร้อนเล่นน้ำกันเยอะทีเดียว แต่ก็มีมุมที่สงบเงียบ
ลาก่อนขุนเขาในฤดูร้อนที่ีทำให้หายคิดถึง



“วัฎจักรหมุนเวียน ผลิบาน และเหี่ยวเฉา แต่ความทรงจำมิเคยสูญหาย”  
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านบันทึกการเดินทางในชุดนี้ ขอบคุณทุกๆ การเยี่ยมชม แล้วพบกันใหม่ในโอกาสต่อไป สวัสดีครับ

อีกหนึ่งพื้นที่การเดินทางบนเส้นทางสายธรรมชาติในแบบฉบับของผม 
ม่วงมหากาฬ LIFE FOR TRAVEL


วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558

### ม่วงมหากาฬรีวิว ### . . . น่ า น . . . เ นิ บ เ นิ บ . . .


คงเพราะความรู้สึกเมื่อได้ยืนบนดินแดนแห่งนี้ มันเหมือนเวลาที่เดินไปอย่างช้าๆ
องค์ประกอบต่างๆ รอบๆ กายค่อยๆ เคลื่อนผ่านบนพื้นฐานของความสุข
นี่กระมังที่เค้าถึงเรียกกันว่า น่านเนิบๆ



อีกหนึ่งพื้นที่การเดินทางบนเส้นทางสายธรรมชาติในแบบฉบับของผม 
ม่วงมหากาฬ LIFE FOR TRAVEL



ภาพวาดจิตรกรรมฝาผนัง “กระซิบรักบันลือโลก”
เพียงแลมองก็รู้สึกถึงมนต์ขลัง จนกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของน่านไป
คงเหมือนกับดินแดนแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของขุนเขา วิถีชีวิต และวัฒนธรรม 



ผมกลับมาเยือนเมืองน่านอีกครั้ง และเป็นครั้งที่สี่ในรอบปี 
แม้จะมาอีกซักสิบหรือยี่สิบครั้ง ผมก็ยังอยากมาอยู่ดี



“วัดภูมินทร์” กับภาพวาดของปู่ม่านย่าม่านกระซิบรักบันลือโลกคือจุดเริ่มต้นของบันทึกการเดินทางของผมในครั้งนี้
ความสวยงาม ความเลื่อมใส ความศรัทธาของผู้คนสัมผัสได้ตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามาภายในวัด



“วัดพระธาตุช้างค้ำ” อีกหนึ่งวัดที่งดงาม เพียงแค่เดินข้ามถนนมาจากวัดภูมินทร์ก็จะพบกับความสวยงาม
วัดต่างๆ ในตัวเมืองน่านจะอยู่ไม่ไกลกันนัก มีจักรยานซักคัน หรือเดินชมเมืองไปอย่างเนิบๆ
ผมว่าเพลินดีนะ...



ซุ้มลีลาวดีด้านหน้าพิพิธภัณฑสถานเมืองน่าน อีกจุดหนึ่งซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกัน
รอยยิ้มของนักท่องเที่ยวที่มาแอ็คท่าถ่ายรูปภายในซุ้ม เห็นแล้วก็พลอยมีความสุขไปด้วย



“วัดพระธาตุเขาน้อย” กับวิวทิวทัศน์ในมุมสูง 
องค์พระเกศาธาตุพระพุทธรูปยืนอย่างสง่าและงดงาม
ประหนึ่งคอยปกป้องคุ้มครองผู้คนเมืองน่าน



“ปัว” อำเภอเล็กๆ ของน่าน
หากแต่ความสวยงาม ความอลังการของขุนเขาหาได้เล็กไม่



อากาศที่บริสุทธิ์รายล้อมไปด้วยขุนเขา
ทุ่งนาสีทองมองแล้วทำให้รู้สึกสบายใจ



ผมเคยมาเยือนเมืองแห่งขุนเขาแล้วครั้งหนึ่ง
และผมก็หลงรักจนอยากมาบ่อยๆ



ผมเคยมาเยือนเมืองแห่งขุนเขาแล้วครั้งหนึ่ง
และผมก็หลงรักจนอยากมาบ่อยๆ



ทิวเขาหัวโล้นสลับกับพืชไร่ข้าวโพด
เอกลักษณ์ของเมืองน่านโดยเฉพาะ



อาจดูไม่สบายตาไม่สบายใจในความรู้สึก
ในความหัวโล้นถ้าเปลี่ยนเป็นต้นไม้สีเขียวๆ คงจะดี
แต่กระนั้นก็ดูแปลกตาและอลังการในความรู้สึก


และยิ่งเพิ่มความยิ่งใหญ่อลังการขึ้นไปอีก เมื่อสายหมอกชโลมขุนเขา


สิ่งเหล่านี้กระมังที่หล่อหลอมจูงใจให้ผู้คนมาเดินเนิบๆ ที่ดินแดนแห่งนี้
ไม่เว้นแม้แต่ผมที่หลงเสน่ห์และกลับมาเยือนอีกครั้ง


ลานดูดาวของอุทยานแห่งชาติชมพูภูคา จุดกางเต็นท์พักแรมที่บรรยากาศใช้ได้ทีเดียว


ยามนี้ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ดอกนางพญาเสือโคร่งที่ลานดูดาวร่วงโรยลงตามกาลเวลา
หลงเหลือเพียงบางส่วนที่น้อยนิดไว้ให้เชยชม


“บ่อเกลือ” อีกหนึ่งอำเภอในหุบเขาเมื่อเดินทางเลยจากดอยภูคาออกไป 
ความเจริญของสังคมเมืองอาจเทียบไม่ได้กับปัว 
วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมนี่แหละคือมนต์เสน่ห์ที่น่าสัมผัส


แต่หากวันหนึ่งความเจริญย่ำกราย
นักท่องเที่ยวแห่แหนกันเข้ามา
ถึงเวลานั้นคำถามน่าจะเกิดขึ้นมากมาย
และมนต์เสน่ห์ของบ่อเกลือยังน่าจะหลงใหลอยู่หรือไม่


บ่อเกลือในวันนี้มีทั้งไร่สตรอเบอร์รี่ มีร้านอาหารสวยๆ ริมน้ำ มีรีสอร์ทหรูๆ ผุดขึ้นบ้างตามยุคสมัย

แต่โดยรวมทั่วไปก็ยังคงรูปแบบและวิถีชีวิตในแบบชนบทพึ่งพิงอิงแอบธรรมชาติ

ในยามเช้าที่สายหมอกล่องลอยเหนือผืนนาข้าว สร้างความประทับใจได้ไม่แพ้ทะเลหมอกที่ฟูฟ่อง


หากเปรียบกับดอกไม้ที่กำลังผลิบาน
บ่อเกลือในวันนี้ก็กำลังอยู่ในช่วงแรกแย้ม
จะผลิบานสดสวย หรือจะร่วงโรยก่อนเวลาขึ้นอยู่กับการดูแล



วันนี้เมืองในซอกหลืบของขุนเขาที่ยังคงความงดงาม
และทำให้ผู้มาเยือนอย่างผมรู้สึกประทับใจ
มีโอกาสผมคงได้กลับมาเยือนอีกครั้งอย่างแน่นอน



จากบ่อเกลือผมเลี้ยวซ้ายไปทางอำเภอเฉลิมพระเกียรติ
“อุทยานแห่งชาติขุนน่าน” ตั้งอยู่ริมถนนสายหลักเลยจากบ่อเกลือออกมาประมาณ 6-7 กิโลเมตร
ป้ายบอกอุทยานฯ ที่มีให้เห็นตลอดเส้นทางเชิญชวนให้เข้าไปสัมผัส
ในวันธรรมดาไร้ซึ่งนักท่องเที่ยว ทุกอย่างเงียบสงบ ท่ามกลางขุนเขา



หน่วยจัดการต้นน้ำห้วยแม่สะแตง  อำเภอทุ่งช้าง ในยามเช้า
แสงสีทองที่สาดส่องขุนเขาเผยให้เห็นถึงความงามของเทือกเขาที่สลับซับซ้อน



จากจุดเริ่มต้นในเมืองน่าน พลันออกมานอกเมือง
ทุกอย่างทุกเส้นทางคือขุนเขาจริงๆ
ไม่แน่ใจนักว่าบ้านนี้เมืองนี้มีภูเขาเยอะที่สุดในประเทศหรือไม่
แต่ที่แน่ใจคือ ไปทางไหนก็มีแต่คำว่างดงาม



ผมย้อนกลับมาทางอำเภอบ่อเกลือเพื่อไปยังอำเภอสันติสุข 
“พระตำหนักภูฟ้า” ที่ประทับของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
ตั้งอยู่ระหว่างทางห่างจากบ่อเกลือราว 20 กิโลเมตร ครั้นเมื่อพระองค์ได้เสด็จมาเยี่ยมราษฎรที่อำเภอบ่อเกลือ ทรงจัดตั้งศูนย์ภูฟ้าพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ในการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีให้กับประชาชนทั่วไป



ในยามเช้าที่สายหมอกปกคลุมเกือบท่วมขุนเขา
เรื่องราวของการเดินทางทุกวินาทีมีแต่ความตื่นเต้น และความสวยงาม


บางทีเรื่องราวระหว่างทางก็เชิญชวนให้เราได้จดจำมากกว่าจุดหมายปลายทางเสียอีก


เส้นทางจากบ่อเกลือมายังสันติสุข เส้นทางลอยฟ้าที่วิ่งลัดเลาะไปตามขุนเขา
เรื่องราวระหว่างทางมีให้ได้เก็บเกี่ยวความสุขตลอดเส้นทาง


ต้นเดือนกุมภาขุนเขาที่เคยเขียวขจีแปรเปลี่ยนเป็นสีทอง


ไร่ข้าวโพดที่เก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นลง หลงเหลือแต่ความเหี่ยวแห้ง
วัฏจักรของวิถีชีวิตในการทำมาหากินเลี้ยงชีพ



สายฝนในฤดูใหม่คงทำให้ทุกอย่างกลับมาเขียวอีกครั้ง
ช่วงเวลาที่เหลือคงได้แต่รอ รอเพื่อกลับมาเริ่มต้นเพาะปลูกพืชไร่อีกครั้ง



ต้องยอมรับว่าเส้นทางสายนี้เป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่สวยงาม “บ่อเกลือ-สันติสุข”
เส้นทางบนความสูงชัน ที่ทำให้รู้สึกเหมือนเราได้โบยบินไปตามทางที่สวรรค์ปูพรมเอาไว้



“อุทยานแห่งชาติแม่จริม” อุทยานฯเล็กๆที่อาจไม่โด่งดังเหมือนที่อื่นๆภายในจังหวัด
ตั้งอยู่ อ.แม่จริม และ อ.เวียงสา ห่างจากตัวเมืองน่านราว 50 กว่ากิโล



จุดเด่นของอุทยานแห่งชาติแม่จริม คงเป็นการล่องแก่งลำน้ำว้า เส้นทางศึกษาธรรมชาติ
รวมถึงการสัมผัสวิถีชีวิตของชาวเขาบ้านร่มเกล้า



ผมยังจำเรื่องราวของฤดูร้อนที่ผ่านมาได้ดี 
อีกหนึ่งเส้นทางที่งดงามไม่แพ้เส้นทางอื่นๆ “สองแคว-ท่าวังผา”
เช้าวันนั้นผมเดินทางออกมาจากภูลังกา มุ่งหน้าสู่น่านบนเส้นทางสายนี้
และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมมาจังหวัดนี้



“อุทยานแห่งชาติถ้ำสะเกิน” อยู่ห่างจากเมืองน่านประมาณ 112 กิโลเมตรบนเส้นทาง “ท่าวังผา-สองแคว”
จุดชมวิวที่ดูธรรมดา แต่หากเป็นช่วงฤดูหนาว ที่นี่คือสวรรค์ของคนชื่นชอบทะเลหมอก



“อุทยานแห่งชาติศรีน่าน” อีกหนึ่งสถานที่ยอดฮิต
โดยใช้เส้นทางไปยัง อ.เวียงสา สู่ อ.นาน้อย ระยะทางราว 70 กว่ากิโลเมตร



“ดอยเสมอดาว” แหล่งท่องเที่ยวของอุทยานฯศรีน่าน 
ความสวยงามของขุนเขา และทะเลหมอกในยามเช้า 
ทำให้มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือนกันอย่างไม่ขาดสาย



ที่ดอยเสมอดาวนี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นทำให้ผมหลงรักน่าน
เพียงครั้งแรกที่ได้สัมผัสที่นี่ มันทำให้ผมอยากรู้
อยากรู้ว่าสถานที่อื่นๆของน่านจะสวยงามเหมือนกับที่นี่หรือไม่



4 ครั้งที่ผมได้เดินทางแบบเนิบๆ บนเส้นทางสายน่าน
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา มันคือประสบการณ์ที่มีคุณค่า
และผมก็ไม่เคยผิดหวังกับมันเลยซักครั้ง 



ขากลับจากน่านลงสู่ภาคกลาง
ผมใช้เส้นทางจากนาน้อยไปยังนาหมื่นสู่หมู่บ้านชาวประมงปากนาย
เพื่อเอารถข้ามแพไปยังอีกฟากสู่ อ.น้ำปาด ลงไปยังอุตรดิตถ์



หมู่บ้านชาวประมงปากนาย บรรยากาศโดยรอบที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขา
สายน้ำที่สงบนิ่งจากเขื่อนสิริกิติ์ ทำให้ดินแดนแห่งนี้เหมาะสำหรับการพักผ่อน



อาชีพหลักของชาวบ้านแถบนี้คงหนีไม่พ้นการทำประมง
ที่นี่มีร้านอาหาร มีบ้านพักที่เป็นแพให้เลือกหา 
แม้จะดูเปลี่ยวไปบ้าง แต่ก็มีเจ้าหน้าที่ดูแล เพราะอยู่ในเขตของอุทยานฯศรีน่าน



สายน้ำที่สงบเงียบ คงเปรียบได้กับวิถีชีวิตที่สงบเรียบง่าย
ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนสุดทางที่กำลังจะออกจากน่าน
ทุกเรื่องราวเป็นอะไรที่พิเศษที่สุดสำหรับผม



การจากลาไม่เคยมีอยู่จริง แค่คิดก็เหมือนได้เริ่มต้นเดินทางอีกครั้ง 
...ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมเดินทางไปกับบันทึกการเดินทางของผม สวัสดีครับ...

อีกหนึ่งพื้นที่การเดินทางบนเส้นทางสายธรรมชาติในแบบฉบับของผม 
ม่วงมหากาฬ LIFE FOR TRAVEL